อาการปวดบ่า ปวดไหล่ และอาการปวดสะบักหลัง มักเกิดตอนที่มีอายุมากขึ้นหรือผู้สูงอายุ อาการปวดมากน้อยก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าปวดเรื้อรังมากน้อยขนาดไหน ส่วนใหญ่อาการเหล่านี้ พบเจอได้มากในกลุ่มคนทำงานที่ต้องนั่งทำกิจกรรมเป็นเวลานานๆ
อาการปวดสะบักหลัง ปวดบ่า ปวดไหล่ เกิดจากสาเหตุอะไร?
สาเหตุเกิดจากการเกร็งของกล้ามเนื้อ มักเกิดกับคนที่ต้องทำงานนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ นั่งอ่านหนังสือ นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เป็นเวลานานๆ หรือกับคนที่ต้องขับรถระยะทางไกลบ่อยๆ ซึ่งต้องยกแขนจับพวงมาลัยเป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อช่วงบ่าเกิดการเกร็ง จนกล้ามเนื้อไม่คลายตัว ส่งผลให้เกิดการปวด ตึง เมื่อย ถ้ากล้ามเนื้อเกร็งมากๆ จนตึงขึ้นไปถึงขมับอาจทำให้ปวดหัว และสามารถตึงลามไปถึงสะบักหลังได้อีกด้วยนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วสาเหตุยังรวมไปถึงผู้ที่มีท่าทางการเดิน ยืน นอน นั่ง ที่ไม่ถูกต้อง อาจเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์ในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะหรือเก้าอี้ไม่เหมาะสมกับการนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน เตียงนอนหรืออุปกรณ์เครื่องนอนต่างๆ ไม่เหมาะสมกับการนอนเป็นเวลานานๆ ซึ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกิดการปวดได้ทั้งสิ้น
ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยง และวิธีรักษาอาการปวดเบื้องต้น
– ไม่ควรนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ต่อเนื่อง ติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง
– หลีกเลี่ยงการยกของหนัก โดยต้องเกร็งคอหรือไหล่ไว้ตลอดเวลา
– หลีกเลี่ยงการนั่งขับรถ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานกว่า 1 ชั่วโมง เพราะจะทำให้เกิดการล้าของกล้ามเนื้อรอบคอได้ พยายามเปลี่ยนอิริยาบถ ท่าทางเสมอๆ
– หลีกเลี่ยงการหนุนหมอนแข็งเกินไป นุ่มเกินไป หรือสูงเกินไป ความสูงของหมอนควรอยู่ระดับไหล่เมื่อนอนตะแคง และมีความกว้างที่พอดีเพื่อป้องกันการนอนตกหมอน
– เมื่อมีอาการปวด ให้นวดแบบผ่อนคลายบริเวณที่มีอาการปวดหรือทำกายภาพบำบัด เช่น การประคบร้อน การใช้ Ultrasound ให้ความร้อนแบบลึกลงไปในชั้นของกล้ามเนื้อ การยืดคอหรือดึงคอด้วยอุปกรณ์ที่แผนกกายภาพบำบัด
นอกจากนี้แล้วควรมีการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ การยืน การเดิน ให้มีการเคลื่อนไหวและยืดตัวอยู่เสมอๆ เช่นในขณะที่ยืนหรือเดินก็ควรแกว่งหัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง ด้านหน้า 20 ครั้ง ด้านหลัง 20 ครั้ง เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อรอบๆ หัวไหล่และสะบัก ป้องกันการเกิดพังผืด และหัวไหล่ติดยึด
